ย้อนกลับ

“เป็นร้านที่คุณแม่ไปรอบสุดท้ายที่ไป กทม. ด้วยคะ”

นี่คือข้อความทางไลน์ที่น้องตอบเรามาเมื่อเราแจ้งน้องว่าขอนัด คุยกันที่ร้านกาแฟแห่งนี้ เราอึ้ง ถึงกับทำอะไรไม่ถูกกลัวว่า การนัดในสถานที่ที่มีความทรงจำกับแม่จะทำให้น้องรู้สึกไม่ดี   แต่ทางนั้นก็ตอบกลับมาว่า ไม่เป็นไร โอเคที่เราจะได้คุยเรื่องคุณแม่กันที่นี่

วันนี้ คือวันที่เรานัดคุยกับน้องเทมส์ ลูกสาวที่สูญเสียคุณแม่ อาจารย์ระวิวรรณ โอฬารรัตน์มณี คณบดีคณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซี่งเป็นอีกหนึ่งในหลายๆบุคลากรสำคัญ ที่สูญเสียไปเนื่องจากผลของ PM2.5 เมื่อเราได้เห็นสัมภาษณ์ของครอบครัวจากทางสื่ออื่นๆ เราเห็นถึงความตั้งใจที่อยากให้เกิดการแก้ไขปัญหา PM2.5

เราได้รับรู้ว่าหลายๆ ครอบครัวที่ได้สูญเสียคนที่รักจากผลของ PM 2.5 เลือกที่จะปล่อยให้ผ่านความสูญเสียให้จางหายไป  “เรื่องมันจบไปแล้ว” “เหนื่อยมากแล้ว” “ปล่อยวาง” คือคำตอบที่เราได้รับเมื่อเราขออนุญาตนัดคุยเราเข้าใจดี ว่าการเล่าเรื่องราวที่น่าเศร้ามันคือการย้อนความรู้สึกสูญเสียที่เพิ่งผ่านพ้นไปให้กลับมาอีกครั้ง แต่สำหรับพวกเราที่ต่อสู้เพื่อ ประเทศไทยจะได้มีกฎหมายที่แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ อย่างได้ผล

เราขอเลือกที่จะ ไม่ปล่อยผ่าน

เราพยายามติดต่อเพื่อขออนุญาตใช้ความสูญเสีย ของครอบครัวโอฬารรัตน์มณี  เป็นตัวสร้างแรงกระเพื่อมอีกเรงให้สังคม สนใจ ใส่ใจในกฎหมายอากาศสะอาด ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการร่างเป็นกฎหมาย  เพื่อที่มาตราสำคัญจะไม่ถูกปัดตกไป เพียงเพราะผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม

Don’t let go

คือชื่อของโปรเจคนี้

วันที่ 24 Nov 2567  สถานที่ร้าน Ground Coffee

เราไปก่อนเวลานัดเล็กน้อย เพื่อเตรียมที่สำหรับคุยกัน แอบหนักใจ และตื่นเต้น เพราะเรารู้ดีว่า เรากำลังเปิดแผลที่กำลังจะหาย และย้อนความเจ็บปวดของครอบครัวหนึ่งขึ้นมาใหม่ เป็นภาระและความรับผิดชอบที่มีน้ำหนักมหาศาล ที่เราต้องแบกเอาไว้

เราเลือกที่มุมในสุดของร้าน มุมที่สงบพอสำหรับการสัมภาษณ์ และรอ..

“ตอนนี้ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง”

เป็นคำถามแรกที่เราถาม อย่างเกรงใจมากๆ

หลังเจอและทักทายกันแล้ว

ตอนนี้ที่บ้าน ok ขึ้น พ่อยังทำบุญให้คุณแม่เรื่อย ๆ

จริงๆ มีคนมาสัมภาษณ์เยอะมากตั้งแต่คุณแม่เสีย  จะออกข่าวค่อนข้างเยอะช่วงนั้นก็อยากจะพูดให้ คนเห็นปัญหาของ PM แต่ว่า..พอข่าวออกไป ก็จะมีคนบางส่วนที่เห็นว่ามันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น คอมเมนท์ ที่ตอบกลับมาทำให้เรารู้สึกแย่  มันอาจจะเพราะ ความจริงเขาไม่เห็นภาพ เขาอาจจะเห็นว่าฝุ่นมันเป็นช่วงสั้นๆ และคิดว่าไม่ได้ร้ายแรงอย่างนั้น 

พูดตรงๆว่า ตอนที่กระแสโซเชียลมีคนออกมาบอกว่า เราเวอร์เกินไป ตอนนั้น เราแอบหมดหวังจะเห็นว่า ช่วงหลังๆจะมีแค่น้องกับพ่อที่ออกมาสัมภาษณ์ เพราะเทมส์รู้สึกหมดหวังจริงๆ เพราะเขาไม่เห็นว่าพวกเราลำบากยังไง พอรู้ว่าจะมีการออกกฎหมายอากาศสะอาด ก็เลยอยากออกมาเล่าเรื่องของพวกเราให้ฟัง

เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีมาก คือออกกำลังกายและไม่สูบบุหรี่ด้วย แล้วจนหลังหายจากโควิด เขามีอาการเหมือนลองโควิด คือไอไม่หยุดเลย ก็เลยไปตรวจ หมอเห็นมีจุดบางจุด แต่หมอก็บอกว่าน่าจะมีอะไร เพราะมันเล็กมากจริงๆ พอผ่านไปสักประมาณ 3-4 เดือน ตอนนั้นที่ตรวจน่าจะตุลา คุณแม่เริ่มไอเป็นเลือด

แล้วเราถึงได้รู้นั้นว่าคุณแม่เป็นมะเร็งปอด จากจุด ๆ เดียวตรงนั้น ไม่กี่เดือนมันโตขึ้นมา ถ้าเทมส์จำไม่ผิดประมาณ 4 ซม. ตอนนั้นช็อคกันมากเพราะเราไม่มีประวัติคนเป็นมะเร็ง ไม่เคยมีประวัติคนในบ้านสูบบุหรี่เลยสักคนนึง

เมื่อไปตรวจชิ้นเนื้อ คุณหมอบอกว่าชิ้นเนื้อนี้มีการ กลายพันธ์ Mutation มาจาก PM2.5 ซึ่งมันอาจจะมากระตุ้น และ อาจจะมีปัจจัยอื่นๆด้วย

ตอนคุณแม่ตรวจพบว่าเป็นระยะสุดท้ายแล้วด้วย ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่มีอาการอะไรเลย ตอนนั้นเราไม่คิดว่าคุณแม่จะเป็นระยะนั้นเพราะภายนอกเค้าเขาดูปกติมาก แต่ตอนที่ตรวจพบคือ มีค 66 ผ่านไปปีนึงก็เสียชีวิตเลย มันเร็วมาก

คนป่วยที่จำเป็นต้องอยู่กับPM2.5

ตอนนั้นเทมส์ Panic มาก เพราะเราจะต้องมีชีวิตอยู่กับ PM 2.5 ตลอดเวลาเทมส์พยายามทำทุกอย่าง เพื่อไม่ให้แม่ต้องสูด PM เข้าไปเราต้องทำยังไง ก็ได้ให้เราสูดมันให้ได้น้อยที่สุดที่บ้านก็ทำเป็นแรงดันบวก ทำทุกอย่างให้ฝุ่นเข้ามาในบ้านน้อยที่สุด  เวลาไป ร้านกาแฟกัน เทมส์ก็จะต้องดูร้านที่มีเครื่องฟอกอากาศ ทุกครั้งที่คุณพ่อพาคุณแม่ไปที่โรงพยาบาลจะเห็น คนป่วยเยอะมากที่แผนกที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ คนเป็นมะเร็งปอดเยอะมาก

ตั้งแต่ตอนที่คุณแม่ป่วย คุณแม่จะพยายามให้เรารู้ว่าเขาจะหาย เทมส์ก็ยังมีความหวังอยู่  จนตอนที่เทมส์รับปริญญา ตอนนั้นเป็นตอนที่คุณแม่เข้า รพ แต่คุณแม่บอกว่าแม่ดีแล้ว แม่ฮึดสู้ออกจาก รพ มาเพื่อมาเข้าพิธี ตอนนั้นคุณแม่เป็น คณบดี แม่ฮึดเพื่อจะมาเข้าร่วมพิธีแค่เพียง 10 นาที ได้เห็นเทมส์ซ้อมรับ แค่10 นาทีแล้วแม่ก็กลับเลย

ในวันรับปริญญา

จากที่แม่เคยขอโทษว่าน่าจะไปงานวันจริงไม่ไหวนะ ซึ่งเราบอกว่าไม่เป็นไร ให้แม่ดูแลตัวเองก่อน แต่ในวันจริง เค้าแม่ก็ฮึบ และก็มาถ่ายรูปกับเทมส์ และหลังจากตอนนั้นแม่ก็แอดมิดเข้าโรงพยาบาล และไม่เคยได้ออกมาอีกเลย

เทมส์ยังจำได้ดีตอนที่คุณแม่เข้า ICU ตอนหัวค่ำยังโทรกู๊ดไนท์กันอยู่เลย  ตอนเช้าคุณพ่อโทรมาบอกว่า แม่ต้องเข้าICU แม่ไม่รู้สึกตัวแล้ว

ความทรงจำที่หายไป

พอเทมส์กลับไป ตอนนั้นมะเร็งจากปอด จะลามไปที่กระดูก และขึ้นสมอง ผลตรวจคือมันลามไปทั่ว และเมื่อลามขึ้นสมอง เทมส์จำได้ดีเลยว่า ตอนนั้นแม่ไม่เหลือความทรงจำแล้ว เทมส์เดินเข้าไปหาแม่แล้ว แม่บอกว่า แม่โดนขัง จริงๆ คือเข้า CT Scan แล้วแม่รู้สึกเหมือนโดนขังในที่แคบ โรคนี้ไม่ได้แค่เอาแม่ไปจากเรา แต่มันเอาความทรงจำดีๆของพวกเรากับแม่ไปด้วย ทุกวันนี้พอนึกถึงแม่ก็จะ “นึกถึงแม่ที่ลืมทุกอย่างของพวกเราไปหมด”

เค้าเขาหายจากเราไป ก่อนที่จะไปจริงๆ ซะอีก

มันทำให้เรานึกนะว่าก่อนหน้านี้ เราเจอแม่ ก็จะเป็นภาพที่เขาสุขภาพดี แฮปปี้ แต่ภาพสองเดือนสุดท้าย คือเขาพูดไม่ได้ เสียงเขาไม่ออกมาแล้ว เพราะมะเร็ง

วันนึงช่วงบ่ายเหมือนเขาจำเราได้แต่ด้วยความที่เขาทำอะไรไม่ได้แล้ว เค้าเขาก็ทำได้แค่ยิ้มให้เทมส์ เมทส์เลยเปิดเพลงให้แม่ฟัง  เป็นเพลง Nothing's gonna change my love for you ถึงจะไม่มีเสียงแล้ว แต่แม่พยายามจะร้องตาม และเพลง Yesterday once more เหมือนเพลง จะทำให้ความทรงจำเค้าเขากลับมา (น้ำตาซึม)

วันที่แม่จากไปจริงๆ

Big change น้องสาวเป็นนักพากย์ ที่แม่ภูมิใจมาก แต่แม่ก็ยังไม่เคยได้ฟังผลงานของน้องเลย แม่จากไปก่อน ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่ยังติดอยู่ในใจน้องถึงน้องจะมีผลงาน ออกมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังติดค้างว่าอยากให้แม่ได้ฟัง

ปกติทุกวันเราสองพี่น้องจะโทรหาแม่ พอแม่จากไป

..แล้วเราก็ไม่รู้จะโทรหาใคร (ยิ้มเศร้าๆ)

เทมส์จะเก็บคลิปเสียงที่เก็บเอาไว้ฟังเวลารู้สึกไม่ดี เป็นคลิปที่แม่บอกว่าแม่รักเทมส์กับไทมส์นะ ไม่ว่าจะเจออะไรก็ไม่เป็นไร ยิ้มสู้เข้าไว้ คำที่แม่บอกเสมอคือ “One day at a time” ทำช่วงเวลานี้ให้ดีที่สุด  แม่เคยเขียนจดหมายให้ เทมส์ยังเก็บไว้ แม่บอกให้เราอยู่กับน้อง ดูแลน้อง ทำตัวเป็นน้ำไม่ใช่แอลกอฮออล์ตอนที่เฝ้าเค้าแม่ เทมส์ยังวาดรูปให้เค้า เป็นรูปดอกไม้ที่คนเอามาเยี่ยม แม่เค้าเขาก็ยิ้มพอแม่จากไปเลยเอารูปนี้มาเป็นของชำร่วย

แม่เป็นคณบดี เป็นศาสตราจารย์ ซึ่งมีอยู่น้อย น้อยมากๆ แม่ถนัดในด้านสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ทางอุษาคเนย์ทางคณะก็สูญเสียคนที่จะสร้างผลงานใน อนาคต แม่เป็นคนในองค์กรมรดกโลกด้วย 

ความกลัวที่ยังคงมีอยู่

กลัว..กลัวทุกวัน ว่ามันจะเกิดกับพ่อเมื่อคืนก็เพิ่งฝันว่า มันเกิดกับพ่อ เพิ่งมฝันว่าเทสม์เสียพ่อรู้สึกว่ามันเกิดขึ้น ได้กับทุกคนมะเร็งมันซ่อนอยู่ในตัวเราตลอดอยู่ที่อะไรจะมากระตุ้น  PM เล็กมากเหมือนมันไปกระตุ้นให้เซลล์ เรากลายเป็นมะเร็งเราอยากพาพ่อย้ายมา กรุงเทพ แต่บ้านเราอยู่เชียงใหม่พ่อก็ทำร้านอยู่เชียงใหม่ มีแค่เทมส์กับไทมส์ที่ทำงานกรุงเทพ

เมื่อก่อนปัญหาฝุ่นไม่ชัดเจนขนาดนี้ แต่พอเข้ามหาลัย มันเยอะขึ้น จนไม่กี่ปีก่อนที่เราไม่เห็นดอย แล้วปีหน้ามันจะมากกว่านี้หรือเปล่า เทมส์กับน้องพยายามหากันมาตลอดว่า PM มาจากอะไร มันมาจากการเผา เราเข้าใจว่าเขาไม่มีทางเลือก ไม่มีคนผลักดัน หรือส่งเสริมว่าให้เขาต้องทำอะไรยังไง พอไม่มีใครมาบอกมาหาทางให้เขา เค้าเขาก็จำเป็นต้องเผา จริงๆคนมีอำนาจควรมาหาทางออก ว่าการจะได้ผลผลิตตรงนั้นมันไม่ต้องเผาได้หรือเปล่า เราอาจจะโทษเกษตรกรไม่ได้ทั้งหมด 

การเผามันอาจจะได้ผลผลิต ได้เงิน ได้ผลทางธุรกิจ แต่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของผู้คนทั้งจังหวัดทางภาคเหนือ สุดท้ายคนที่มีประโยชน์ต่อประเทศ ต้องมาเสียไปเพราะการเผา และคนเผากับการค้าก็ได้เงินตรงนั้นไป  ชีวิตที่สูญเสียไปมันไม่ใช่การแลกชีวิตกับเงิน แต่มันคือการให้เปล่า เพราะถ้าการแลก เราควรได้รับอะไรกลับมา แต่นี้มันคือการให้ชีวิตไปเปล่าๆเลย เทมส์มองว่า ถ้ารัฐบาลอยากผลักดันเรื่องอากาศสะอาดจริงๆ ก่อนอื่นต้องสนใจเรื่องนี้ก่อนว่า ปัญหามาจากอะไรกันแน่ และหาทางไปช่วยเหลือจริงๆ ไม่ใช่แค่เอาน้ำมาฉีดรด มันแก้ปัญหาที่ปลายเหต มันต้องออกกฎหมายที่ชัดเจน ว่าเผาแล้วจะโดนโทษอะไร

การลงโทษ การห้ามเผา

หรือการปรับ จะส่งผลต่อเศษฐกิจ

สำหรับคนที่ห่วงเรื่องปากท้องและเศรฐกิจมากกว่าสุขภาพ  อยากให้ลองไปอยู่ที่ไปเชียงใหม่ ในช่วงฝุ่นพีค ๆ ลองใช่ชีวิตข้างนอกแบบไม่ใส่หน้ากากดู สักอาทิตย์ แล้วมาดูกันว่า ยังจะคิดแบบนั้นอยู่หรือเปล่า ลองไปใช้ชีวิตในช่วงที่ฝุ่นมั้นสองสามร้อย แล้วใช้ชีวิตข้างนอกดู แล้วยังจะเชื่อแบบนั้นอยู่หรือเปล่า

คนที่ไม่อยู่ในตรงนั้น และไม่เคยสูญเสียจะไม่รู้เลยว่าการจากไปของคนคนหนึ่ง มันสร้างความสูญเสียมากแค่ไหน